นิวยอร์กหยาบๆ




สถานที่แรกที่ท่านนึกถึงเมื่อได้ยินประโยคที่ว่า "...มหานครที่ไม่เคยหลับใหล" คือที่ใด? 

แน่นอนส่วนหนึ่งคงนึกถึงกรุงเทพฯ (แดนเทพสถิตย์ เมืองสุดยูนีคที่ตีสองหิวก็มีข้าวต้มโต้รุ่งให้กิน) และคาดว่าคงจะมีอีกหลายส่วนที่นึกถึง"มหานครนิวยอร์ก" ที่ซึ่งเป็นที่สุดแห่งความเจริญของซีกโลกเหนือ

ใครเป็นสาวกหนังรอมคอมอย่างเรา คาดว่าต้องมีภาพนิวยอร์กอยู่ในใจไม่มากก็น้อย ไม่ว่าจะเป็นภาพถนนหนทางที่เรียงรายไปด้วยโรงแรมหรู ภัตตาคารเริ่ด แท็กซี่สีเหลืองที่แสนจะเป็นเอกลักษณ์ ไหนจะความชิคของ Time Square ความเก๋ของการเดินเล่นที่ Central Park ความโรแมนติกช่วงคริสมาสต์ที่ Rockefeller Center และ Empire State Building ซึ่งล้วนแล้วแต่พบเห็นได้ตามหนังดังอย่าง The Enchanted, Made in Manhattan, Serendipity, Night at the Museum ไปยันซีรียส์ฮิตชะนีฮอตอย่าง Gossip Girl (ขอโหวตตัวเองให้ไปอยู่อัพเปอร์อีสไซด์ค่ะ)


สาเหตุที่นิวยอร์กได้ชื่อว่าเป็นมหานครที่ไม่หลับใหลนั้นเป็นเพราะสถานที่หลายๆแห่งเปิดให้บริการกันแบบ24ชั่วโมง ไม่มีหยุด ไม่ว่าจะเป็นผับ บาร์ ร้านอาหาร สถานีรถไฟ ลามไปยันบริการจัดส่งดอกไม้

นอกจากเมืองจะไม่หลับใหลแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ดิฉันค้นพบหลังจากทำไฟลท์คือตัวเราเองก็ไม่หลับใหลเช่นกัน...

ที่เป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพราะมัวแต่ไปหลงระเริงเข้าออกสถานที่บันเทิง แต่เป็นเพราะสรรพเสียงที่มาพร้อมกับความแสงสีของเมืองนี้ตางหาก

เนื่องจากโรงแรมที่พักตั้งอยู่ใจกลางเมือง ที่สุดของความใกล้ไทม์สแควร์ เลยทำให้แถมพ่วงมาด้วยเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจของย่าน เสียงรถหวอตำรวจที่วิ่งหวือไปมาหลายๆรอบ เสียงคนเมาเอะอะโวยวาย เสียงกระแทกประตูปึงปังตลอดคืน ก็ได้แต่นอนตาค้างมองความมืดแล้วก่นด่าอยู่ในใจ...

อย่างไรก็ตาม เราก็จะคิดบวก ถือซะว่าเป็นสีสันแห่งเมืองนิวยอร์กก็แล้วกัน



แผนเที่ยวรอบนี้ที่เราวางกันไว้คือวันแรกหลังแลนด์จะออกไปพบเพื่อนคนไทยที่ย้ายมาอยู่นิวยอร์ก ไปเดินเล่นไทม์สแควร์ หาอะไรกิน แล้วก็กลับมาพักผ่อน

ส่วนวันที่สอง เดิมทีตั้งใจจะไปชมเทพีเสรีภาพ สะพานบรูคลิน และ เซนทรัลพาร์ค แต่เป็นอันว่าล่มเพราะฝนตก และอากาศไม่เป็นใจ (นี่ก็ว่าเพิ่งสะเดาะเคราะห์ไปเองนะ) การแต่งตัวสวยๆเป็นเซรีน่า แวน เดอ วูดเซ่นไปเดินเล่นชิคๆที่เซนทรัลพาร์คจึงเป็นอันพับเก็บไป

ส่วนที่ตั้งชื่อตอนว่านิวยอร์กหยาบๆ ก็เพราะการเที่ยวที่แสนจะผิวเผินครั้งนี้ ซึ่งเน้นถ่ายภาพว่า 'เอ้ออ มาถึงละนะ' และ การพบปะความหยาบบียอนด์ของคนเจ้าถิ่นที่นี่ เอาละ ทีนี้เรื่องมันก็มีอยู่ว่า...

ในวันแรกนั้น ระหว่างทางไป Rockefeller Center เราและคณะเพื่อนก็พลางดื่มด่ำกับบรรยากาศของเมือง จำได้ว่าเป็นวันหยุดอะไรสักอย่างของที่นี่พอดี ทำให้ท้องถนนคราคร่ำไปด้วยผู้คนซึ่งออกมาพักผ่อนหย่อนใจ ดูมีชีวิตชีวายิ่งนัก

ในตอนที่หยิบมือถือมาถ่ายภาพตึกรามบ้านช่อง ท้องถนน และแทกซี่สีเหลืองนั้น อยู่ดีๆก็ได้ยินเสียงตะโกนออกมาจากรถคันหนึ่ง มองไปก็เห็นพี่มืดในรถสีดำคันโต กำลังโบกไม้โบกมือให้แท็กซี่ที่อยู่ข้างหลัง พร้อมเปล่งเสียงบอกรักว่า Mother F_ck_r (แปลเป็นไทยได้ว่า'พ่อ')

พี่แท็กซี่ก็ไม่น้อยหน้า บอกรักกลับพร้อมส่งสัญลักษณ์นิ้วกลางคิ้วๆไปให้ เป็นการเปิดประเดิมนิวยอร์กที่สุดเรียลแบบแท้ทรู



ไอเราที่ถ่ายรูปอยู่ก็ได้แต่ถอยออกมา แต่ในใจก็หวังว่าเขาจะเปิดประตูลงมาท้าตีท้าต่อยกัน มันจะเป็นอะไรที่พีคมาก ละถ้ามีพี่ตำรวจพุงโต ถือสตาบัคและโดนัทมาร่วมวงจะฟินหนักเข้าไปอีก แต่ก็ได้แค่เพียงหวัง

พอไปถึง Rockefeller Center ก็พอได้พักปรับทัศนคติ คนมากมายมหาศาล ลานตรงกลางที่เคยเห็นในหนังว่าเป็นลานไอซ์สเกตถูกปรับให้กลายมาเป็นคาเฟ่ขนาดใหญ่ มีโต๊ะมากมายที่ผู้คนจับจองเต็มไปหมด พอเห็นคนกินเราก็เริ่มหิว จึงเดินหาอะไรกินแถวนั้น มาจบที่ร้านพิซซ่าค่อนข้างมีชื่



สั่งเอง จะเอาหน้าอะไรบ้างก็เลือก ไม่มีพรีเซตหน้าพิซซ่าให้ ต้องใช้การประยุกต์เอง ถกเถียงกันอยู่สักพักว่าจะขนาดดลางหรือใหญ่ สุดท้ายเลือกชุดใหญ่จัดเต็ม พอมาถึงก็หน้าตาเป็นฉะนี้แล..



ใหญ่กว่าหน้าเราสามหน้ารวมกัน

อีกสิ่งหนึ่งที่ช่างท้าทายในวันหยุดคนเยอะๆอย่างนี้คือการถ่ายภาพ หันไปทาง Red Stair ก็ผงะด้วยความยุบยับของผู้คน แล้วไอที่วาดฝันไว้ในใจในการไปยืนกลางไทม์สแควร์ โพสท่าเก๋ๆกลางเฟรม แล้วให้ฉากหลังรายล้อมไปด้วยสีสันของจอledตั่งต่าง ก็คงต้องบอกลา



เพราะอะไรๆที่คิดหวังมันมักจะไม่ตรงความจริงเสมอ ไหนจะคู่รักชาวจีนที่มาถ่ายพรีเวดดิ้งข้างหลังเรา แก๊งอาม่าที่พยายามจะเซลฟี่กินพื้นที่เฟรมเรา หนุ่มสาวชาวนิวยอร์กเกอร์ที่ยืนคุยธุรกิจกันอย่างไม่สนheeสนtadใดๆ ทำให้เป็นอันต้องยกเลิกภารกิจถ่ายภาพแบบเมคอิทแฮพเพิ่น เมเบอลีนนิวหยวกก แล้วเก็บเรฟเฟอเรนส์ญาญ่าและติช่าเข้าแฟ้มไปอย่างงงๆ

ในเรื่องของการชอปปิ้งนั้น ใครที่คิดว่าเราจะมาชอบกุชชี่ ปราด้า ชาแนลเลียนแบบแบลร์ วอลดอล์ฟ ตอบได้เลยตรงนี้ว่าเงินเดือนระดับนี้แล้ว ชอปหยาบๆฟอเอเว่อ ทเวนตี้วันช่วงเซลก็พอ แล้วแถมด้วยการไปซื้อหมวก NY หิ้วไปขายต่อเอากำไรที่เมืองไทย และมาจบด้วยการแวะซื้อแม่เหล็กติดตู้เย็นพร้อมที่ทับกระดาษไปฝากแม่...



แล้วก็อีก ในขณะที่กำลังเดินเลือกโปสการ์ดสักสามสี่ใบส่งหาเพื่อน อยู่ๆก็มีพี่มืดแต่งตัวบลิ๊งๆจากที่ไหนไม่รู้เดินมาด้วยสเตปโย่วยัวร์บอยทีเจล้อมหน้าล้อมหลัง พร้อมชี้นิ้วด่านี่ว่าอีกะหรี่ประหนึ่งว่าเราไปหักอกพี่เขามา 

พี่เขาดูเกรี้ยวกราด แต่ก็ดูน่าสงสารอยู่ในที ตัดสินใจไม่ได้ว่าพี่เขาบ้าหรือดี แต่ที่แน่ๆพี่เขาไม่ด่าเราอย่างเดียว เขายกมือดักกวักมือเรียกคนละแวกนั้นให้ดูน้ำหน้าเราไว้เช่นกัน รู้สึกเหมือนผักคะน้าท้ายกระบะก็วันนี้ เหตุการณ์มันเกิดขึ้นเร็วมาก เรามีทางเลือกสองทางคือ

หนึ่ง เดินเข้าไปหาพี่เขา ยิ้มอ่อนโยนพร้อมลูบหลังลูบไหล่ปลอบใจพี่เขา ชวนแกไปนั่งเก้าอี้สวนสาธารณะแล้วถามพี่เขาว่า มีอะไรจะเล่าให้ฟังไหม?

หรือ

สอง วิ่งหนี

ซึ่งดิฉันเลือกอย่างหลังค่ะ (เราจะไม่เสี่ยงteenเสี่ยงtadอะไรทั้งนั้นในนิวยอร์ก)

มีคนเคยบอกไว้ว่า If you can live in New York, you can survive anywhere บอกเลยตรงนี้ว่า เชื่อแล้วจ้าาา

บรัยยยยย

Comments

Popular Posts